ง22101 การงานอาชีพ 2
บทที่ 1 ศาสตร์พระราชา ตำราแห่งชีวิต
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่นอกจากจะทรงด้วยทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงยังเป็นพระราชาที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และการทำงานแก่พสกนิกรของพระองค์และนานาประเทศอีกด้วย ผู้คนต่างประจักษ์ถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์และมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ซึ่งแนวคิดหรือหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9
มีความน่าสนใจที่สมควรนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตการทำงานเป็นอย่างยิ่ง หากท่านใดต้องการปฏิบัติตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ท่านสามารถนำหลักการทรงงานของพระองค์ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนี้
หลักการทรงงาน ในหลวงรัชกาลที่ 91. จะทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้เป็นระบบทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลเบื้องต้น ทั้งเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามเป้าหมาย
2. ระเบิดจากภายในจะทำการใดๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจและอยากทำ ไม่ใช่การสั่งให้ทำ คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ทำก็เป็นได้ ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนในทีมเสียก่อน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและวิธีการต่อไป
3. แก้ปัญหาจากจุดเล็กควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมื่อจะลงมือแก้ปัญหานั้น ควรมองในสิ่งที่คนมักจะมองข้าม แล้วเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทีละจุด เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ โดยมองไปที่เป้าหมายใหญ่ของงานแต่ละชิ้น แล้วเริ่มลงมือทำจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ไปทีละจุด งานแต่ละชิ้นก็จะลุลวงไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ “ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก ก็ต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน มันไม่ได้แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปัญหาที่ทำให้เราปวดหัวให้ได้เสียก่อน เพื่อจะให้อยู่ในสภาพที่ดีได้…”
4. ทำตามลำดับขั้นเริ่มต้นจากการลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นก่อน เมื่อสำเร็จแล้วก็เริ่มลงมือสิ่งที่จำเป็นลำดับต่อไป ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ถ้าทำตามหลักนี้ได้ งานทุกสิ่งก็จะสำเร็จได้โดยง่าย… ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากนั้นจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด “การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควร สามารถปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517
5. ภูมิสังคม ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน “การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง”
6. ทำงานแบบองค์รวมใช้วิธีคิดเพื่อการทำงาน โดยวิธีคิดอย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร ทุกสิ่งทุกอย่างมีมิติเชื่อมต่อกัน มองสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง
7. ไม่ติดตำราเมื่อเราจะทำการใดนั้น ควรทำงานอย่างยืดหยุ่นกับสภาพและสถานการณ์นั้นๆ ไม่ใช่การยึดติดอยู่กับแค่ในตำราวิชาการ เพราะบางที่ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครั้งเรายึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เราทำบางครั้งต้องโอบอ้อมต่อสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และจิตวิทยาด้วย
8. รู้จักประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหาด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่นและประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไข ปรับปรุง โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากมากนัก ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ให้ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกโดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติจะได้ประหยัดงบประมาณ…”
9. ทำให้ง่ายทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไขงาน การพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศโดยรวม “ทำให้ง่าย”
10. การมีส่วนร่วมทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น “สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือ การระดมสติปัญญาละประสบการณ์อันหลากหลายมาอำนวยการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบผลสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง”
11. ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบื่อ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่าขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เป็นเพื่อส่วนรวมนั้น มิได้ให้ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้…”
12. บริการที่จุดเดียวทรงมีพระราชดำริมากว่า 20 ปีแล้ว ให้บริหารศูนย์ศึกษาการพัฒนาหลายแห่งทั่วประเทศโดยใช้หลักการ “การบริการรวมที่จุดเดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเรื่องรู้รักสามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือเราด้วย
14. ใช้อธรรมปราบอธรรมทรงนำความจริงในเรื่องธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติเข้าสู่ระบบที่ปกติ เช่น การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยให้ผักตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาติให้ดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ
15. ปลูกป่าในใจคนการจะทำการใดสำเร็จต้องปลูกจิตสำนึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์กับสิ่งที่จะทำ…. “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง”
16. ขาดทุนคือกำไรหลักการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่มีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร
17. การพึ่งพาตนเองการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีความแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ พึ่งตนเองได้ในที่สุด
18. พออยู่พอกินให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พออยู่พอกิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
19. เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้ดำเนินไปบน “ทางสายกลาง” เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งปรัชญานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งระดับบุคคล องค์กร และชุมชน
บทความที่เกี่ยวข้อง : เดินตามรอยเท้าพ่อ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
20. ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกันผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ
21. ทำงานอย่างมีความสุขทำงานต้องมีความสุขด้วย ถ้าเราทำอย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุกกับการทำงานเพียงเท่านั้น ถือว่าเราชนะแล้ว หรือจะทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นก็สามารถทำได้ “…ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น…”
22. ความเพียรการเริ่มต้นทำงานหรือทำสิ่งใดนั้นอาจจะไม่ได้มีความพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่น ดังเช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลาและไม่ได้พบกับเทวดาที่ช่วยเหลือมิให้จมน้ำ
23. รู้ รัก สามัคคีรู้ คือ รู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหานั้นรัก คือ เมื่อเรารู้ถึงปัญหาและวิธีแก้แล้ว เราต้องมีความรัก ที่จะลงมือทำ ลงมือแก้ไขปัญหานั้นสามัคคี คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่สามารถลงมือทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันข้อมูลจาก : https://th.jobsdb.com, http://www.crma.ac.th, http://umongcity.go.th https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/39678.html
แบบทดสอบหลังเรียน
บทที่ 2 ปุ๋ยและการใช้ปุ๋ย
> ปุ๋ยและการใช้ปุ๋ย <<
ปุ๋ย คือ วัสดุที่มีธาตุอาหารพืชเป็นองค์ประกอบ หรือสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดธาตุอาหารพืช เมื่อใส่ลงไปในดินแล้วจะปลดปล่อย หรือสังเคราะห์ธาตุอาหารที่จำเป็นให้แก่พืช โดยทั่วไปปุ๋ยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
ปุ๋ยเคมี คือสารประกอบอนินทรีย์ที่ให้ธาตุอาหารพืช เป็นสารประกอบที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมี เมื่อใส่ลงไปในดินที่มีความชื้นที่เหมาะสม ปุ๋ยเคมีจะละลายให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว มีอยู่ 2 ประเภท คือ
2. ปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยอินทรีย์ คือสารประกอบที่ได้จากสิ่งที่มีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ผ่านกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รากพืชจึงชอนไชไปหาธาตุอาหารได้ง่ายขึ้น
ปุ๋ยอินทรีย์ มีปริมาณธาตุอาหารอยู่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี และธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เช่น ไนโตรเจนอยู่ในสารประกอบจำพวกโปรตีน เมื่อใส่ลงไปในดินพืชจะไม่สามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน แล้วปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปสารประกอบอินทรีย์ เช่นเดียวกันกับปุ๋ยเคมี จากนั้นพืชจึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้
ปุ๋ยอินทรีย์มี 3 ประเภทคือ 1) ปุ๋ยหมัก 2) ปุ๋ยคอก และ 3) ปุ๋ยพืชสด
ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยคอก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้มาจากสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ สุกร เป็ด ไก่ และห่าน ฯลฯ โดยอาจจะใช้ในรูปปุ๋ยคอกแบบสด แบบแห้ง หรือ นำไปหมักให้เกิดการย่อยสลายก่อนแล้วค่อยนำไปใช้ก็ได้ ซึ่งต้องคำนึงถึงชนิดของดินและพืชที่ปลูกด้วย โดยเฉพาะการใช้แบบสดอาจทำให้เกิดความร้อน และมีการดึงธาตุอาหารบางตัวไปใช้ในการย่อยสลายมูลสัตว์ ซึ่งอาจจะทำให้พืชเหี่ยวตายได้
การใช้ปุ๋ยคอกนั้น นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มธาตุอาหารพืชในดินแล้ว ยังช่วยทำให้ดินโปร่งและร่วนซุย ทำให้การเตรียมดินง่าย การตั้งตัวของต้นกล้าเร็วทำให้มีโอกาสรอดได้มากด้วย
ปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งได้จากการนำชิ้นส่วนของพืช วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หรือวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น หญ้าแห้ง ใบไม้ ฟางข้าว ซังข้าวโพด กากอ้อยจากโรงงานน้ำตาล และแกลบจากโรงสีข้าว ขี้เลื่อยจากโรงงานแปรรูปไม้ เป็นต้น มาหมักในรูปของการกองซ้อนกันบนพื้นดิน หรืออยู่ในหลุม เพื่อให้ผ่านกระบวนการย่อยสลายให้เน่าเปื่อยเสียก่อน โดยอาศัยกิจกรรมของจุลินทรีย์จนกระทั่งได้สารอินทรียวัตถุที่มีความคงทน ไม่มีกลิ่น มีสีน้ำตาลปนดำ
เราสามารถทำปุ๋ยหมักเองได้ โดยนำวัสดุต่างๆ มากองสุมให้สูงขึ้นจากพื้นดิน 30-40 ซม. แล้วโรยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ต่อเศษพืชหนัก 1,000 กิโลกรัม เสร็จแล้วก็กองเศษพืชซ้อนทับลงไปอีกแล้วโรยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยเคมี ทำเช่นนี้เรื่อยไปเป็นชั้นๆ จนสูงประมาณ 1.5 เมตรควรมีการรดน้ำแต่ละชั้นเพื่อให้มีความชุ่มชื้น และเป็นการทำให้มีการเน่าเปื่อยได้เร็วขึ้น กองปุ๋ยหมักนี้ทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ ก็ทำการกลับกองปุ๋ยครั้งหนึ่ง
ปุ๋ยพืชสด
ปุ๋ยพืชสด เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการปลูกพืชบำรุงดินซึ่งได้แก่พืชตระกูลถั่วต่าง
ๆ แล้วทำการไถกลบเมื่อพืชเจริญเติบโตมากที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังออกดอก
พืชตระกูลถั่วที่ควรใช้เป็นปุ๋ยพืชสดควรมีอายุสั้น มีระบบรากลึก ทนแล้ง
ทนโรคและแมลงได้ดี เป็นพืชที่ปลูกง่าย และมีเมล็ดมาก
ตัวอย่างพืชเหล่านี้ก็ได้แก่ ถั่วพุ่ม ถั่วเขียว ถั่วลาย ปอเทือง ถั่วขอ
ถั่วแปบ และโสน เป็นต้น
ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยพวกนี้เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการผลิต หรือสังเคราะห์ทางอุตสาหกรรมจากแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นผลพลอยได้ของโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด
3. ปุ๋ยชีวภาพ
ปุ๋ยชีวภาพ คือปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่
และมีคุณสมบัติพิเศษสามารถสังเคราะห์สารประกอบธาตุอาหารพืชได้เอง
หรือสามารถเปลี่ยนธาตุอาหารพืชที่อยู่ในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชให้มาอยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้
กรมวิชาการเกษตรนับเป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทยที่ได้ศึกษาวิจัยปุ๋ยชีวภาพมามากกว่า
30 ปี
และผลิตปุ๋ยชีวภาพจำหน่ายให้แก่เกษตรกรด้วย
ปุ๋ยชีวภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
กลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถสังเคราะห์สารประกอบอาหารพืชไนโตรเจนได้เอง
ได้แก่ ไรโซเบียมที่อยู่ในปมรากพืชตระกูลถั่ว แฟรงเคียที่อยู่ในปมของรากสนทะเล สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่อยู่ในโพรงใบของแหนแดง และยังมีจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินอย่างอิสระอีกมากที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่พืชได้เช่นกัน
กลุ่มจุลินทรีย์ที่ช่วยทำให้ธาตุอาหารพืชในดินละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น
เช่น ไมคอร์ไรซาที่ช่วยให้ฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดินละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้อุณหภูมิสูงถึงระดับที่สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งที่เป็นโรคพืช โรคสัตว์ และโรคมนุษย์ รวมทั้งจุลินทรีย์ทั่วๆ ไปด้วย จากนั้นนำจุลินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นปุ๋ยชีวภาพที่เลี้ยงไว้ในสภาพปลดปล่อยเชื้อมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว และทำการหมักต่อไปจนกระทั่งจุลินทรีย์ที่ใส่ลงไปในปุ๋ยหมักมีปริมาณคงที่ จุลินทรีย์เหล่านี้นอกจากจะช่วยตรึงไนโตรเจนให้แก่พืชแล้ว ยังช่วยผลิตสารฮอร์โมนพืชเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืช และจุลินทรีย์บางชนิดยังสามารถควบคุมโรคพืชในดินและกระตุ้นให้พืชสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูล : :: สำนักสำรวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
http://oss101.ldd.go.th/web_soils_for_youth/s_fertilizer.htm
บทที่ 3 การเลี้ยงสัตว์
การเลี้ยงสัตว์เป็นงานเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเพาะพันธุ์ การเลี้ยงดู และการจัดการผลผลิตที่ได้จากสัตว์ เพื่อบริโภคในครัวเรือนหรือเพื่อการจำหน่าย
ความเป็นมาของการเลี้ยงสัตว์
มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยสัตว์มาตั้งแต่อดีต ทั้งในการใช้เป็นอาหารและใช้แรงงานในการทำงาน โดยเฉพาะการนำมาเป็นอาหารนั้นต้องมีการไล่ต้อนฝูงสัตว์มากักขังไว้เพื่อ
เก็บไว้รับประทานนาน ๆ มนุษย์จึงเห็นความสำคัญของการเลี้ยงสัตว์ จนกระทั่งพัฒนาการเลี้ยงสัตว์
ให้มีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
ความสำคัญของการเลี้ยงสัตว์
การเลี้ยงสัตว์มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ ดังนี้1. การเลี้ยงสัตว์ให้เป็นแหล่งอาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เช่น วัว ไก่ ปลา นิยมไว้เลี้ยงไว้บริโภคเนื้อ เพราะเนื้อสัตว์เป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ2. การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลิน และปลูกฝังความมีเมตตากรุณาต่อสัตว์3. การเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว4. การเลี้ยงสัตว์เพื่อนำผลผลิตไปจำหน่ายในประเทศและเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ5. การเลี้ยงสัตว์ก่อให้เกิดอาชีพหลากหลาย จึงช่วยลดอัตราการว่างงานได้
ประเภทของสัตว์ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย
สัตว์ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายเนื้อ ไข่ และผลิตภัณฑ์แปรรูป มีทั้งสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์น้ำ ดังนี้
1. สัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด นกกระทา นกกระจอกเทศ ห่าน เป็นต้น2. สัตว์บก เช่น โคนม โคเนื้อ กระบือ แพะ แกะ สุกร เป็นต้น3. สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ จระเข้ ตะพาบน้ำ เต่า เป็นต้น4. สัตว์น้ำ เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาช่อน ปลาดุก กุ้ง ปูม้า ปูทะเล หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม เป็นต้น
ขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่าย
การเลี้ยงสัตว์ให้เจริญเติบโตได้ดี ไม่เป็นโรค และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ คุ้มค่ากับการลงทุน
มีขั้นตอน ดังนี้
1. สำรวจความต้องการของผู้เลี้ยง
2. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ที่จะเลี้ยง
3. การวางแผนการเลี้ยงสัตว์
4. เตรียมสถานที่ อุปกรณ์ และเครื่องมือในการเลี้ยงสัตว์
5. การเตรียมพันธุ์สัตว์
6. การเลี้ยงและดูแลรักษาสัตว์
7. การจัดการผลิตผล
บทที่ 4 งานช่างเบื้องต้น
ความหมายและความสำคัญ
ช่าง หมายถึง ผู้ชำนาญในการฝีมือ หรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง
งานช่าง หมายถึง การทำงานของช่าง หรือสิ่งที่เกิดจากการทำงานของช่าง ผู้ที่เป็นช่างมักมีคำต่อท้าย เพื่อบอกประเภทหรือสาขาของงานที่ทำ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ ช่างปูน ช่างเขียนแบบ ช่างยนต์ ช่างเสริมสวย
งานช่าง หมายถึง การนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการทำงาน ตลอดจนกระบวนการทางเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมมาใช้ในการบำรุงรักษา ซ่อมแซม ติดตั้งเครื่องมือ เครื่องใช้ อย่างเป็นระบบ
งานช่างพื้นฐาน หมายถึง งานช่างเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง ส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อน หรือลงทุนสูง
ประโยชน์ของงานช่างพื้นฐาน
ประโยชน์โดยตรง ได้แก่ การประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ควบคุมดูแลการทำงานได้ เลือกใช้เครื่องมือได้ถูกประเภทและปลอดภัย ซ่อมแซมได้ด้วยตนเอง ยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือ เครื่องใช้
ประโยชน์โดยอ้อม ได้แก่ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดความรู้ความชำนาญ เป็นพื้นฐานและแนวทางศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพ เสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่ตนเอง รู้จักวิธีการทำงานที่ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ ทำให้ชีวิตสมดุลเนื่องจากช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทำให้เกิดความสมดุลด้านร่างกายและจิตใจ
ลักษณะของงานช่าง
ลักษณะของงานช่าง สามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.งานบำรุงรักษา เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับหลักการ วิธีการทำงาน วิธีการบำรุงรักษา เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านสามารถใช้งานได้ถูกต้อง ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานยาวนาน2.งานซ่อมแซม/การดัดแปลง เป็นการนำความรู้ ทักษะต่างๆ มาใช้เพื่อตรวจสอบหรือซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านที่ชำรุดให้สามารถใช้งานต่อไปได้
3.งานติดตั้ง/การประกอบ เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญและทักษะต่างๆ เพื่อติดตั้งเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านให้สามารถใช้งานได้ถูกต้องและปลอดภัย4.งานผลิต เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ วางแผน ออกแบบและผลิตชิ้นงาน และวิธีการทำงาน เพื่อวางแผนปฏิบัติงานให้ได้ผลผลิตที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตประจำวัน
หลักการทำงานช่าง
1.มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จำเป็นในบ้าน
2.มีความรู้เกี่ยวกับหลักการทำงานของเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในบ้าน
3.มีความรู้เกี่ยวกับหลักการของวัสดุ
4.มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ทรัพยากร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
5.มีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ อ่านแบบ วิเคราะห์ วางแผน บำรุงรักษา ติดตั้ง
6.มีทักษะการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ
7.มีความขยัน อดทน ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ ประหยัด
กระบวนการทำงานช่าง
1.ศึกษาคู่มือการทำงานของเครื่องมือ เครื่องใช้ และอ่านแบบ2.ศึกษาหลักความปลอดภัย ทรัพยากร วัสดุอุปกรณ์อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและเพื่อนร่วมงาน
3.อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
4.คำนวณค่าใช้จ่าย เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะทำให้รู้ค่าใช้จ่ายในการทำงาน
5.วางแผนปฏิบัติงาน คือการกำหนดขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนงานสำเร็จ
6.เลือกใช้เทคโนโลยี เพื่อความสะดวก รวดเร็ว
7.เลือกเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์
8.ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
9.ตรวจสอบความเรียบร้อย
10.แก้ไขและปรับปรุง
11.จัดเก็บและบำรุงรักษาเครื่องมือ
ส่วนกระบวนการทำงานผลิตมีส่วนเพิ่มเติม ดังนี้
ศึกษาความต้องการและความเป็นไปได้ออกแบบ เขียนแบบตรวจสอบคุณภาพการจัดการผลผลิตและบรรจุภัณฑ์ทักษะกระบวนการทำงานช่าง
ทักษะกระบวนการทำงาน หมายถึง การลงมือทำงานด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นการฝึกวิธีการอย่างสม่ำเสมองานช่างทุกประเภทมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
1.การวิเคราะห์งาน คือการแจกแจงงานที่ทำว่าเป็นงานประเภทใด ลักษณะใด อุปกรณ์ เครื่องมือใด2.การวางแผนในการทำงาน
3.การปฏิบัติงาน
4.การประเมินผลงาน
ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
หมายถึง การทำงานเป็นกลุ่ม สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ทำงานมีขั้นตอน มีหลักสำคัญดังนี้
1.รู้จักบทบาทหน้าที่ภายในกลุ่ม2.มีทักษะในการฟัง พูด แสดงความคิดเห็นและอภิปราย
3.มีคุณธรรมในการทำงานร่วมกัน เช่น รับผิดชอบ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์
4.สรุปผลโดยการจัดทำรายงาน
5.นำเสนอรายงาน
กระบวนการในการทำงานกลุ่ม
1.เลือกหัวหน้ากลุ่ม มีการหมุนเวียนในการทำงานแต่ละครั้ง2.กำหนดเป้าหมายของงานว่าคืออะไร อยู่ที่ใด
3.วางแผนการทำงาน เช่นจำอะไรบ้าง ทำอะไรก่อนหลัง จะทำงานอย่างไร
4.แบ่งงานตามความสามารถและความถนัด
5.ลงมือปฏิบัติงานตามบทบาท หน้าที่ และขั้นตอนที่วางไว้
6.ประเมินผลและปรับปรุงงาน
ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
มีขั้นตอนดังนี้
1.สังเกต ต้องศึกษาข้อมูล รับรู้ ทำความเข้าใจ2.วิเคราะห์ จัดลำดับข้อมูล หาความสำคัญและสาเหตุของปัญหา เลือกแก้ปัญหาที่สำคัญและเหมาะสม
3.สร้างทางเลือก แสวงหาทางเลือกอย่างหลากหลาย
4.ประเมินทางเลือก ตรวจสอบความถูกต้อง
กระบวนการจัดการงานช่าง
กระบวนการจัดการงานช่าง กระบวนการจัดการงานช่างมีขั้นตอนดังนี้
1.การวางแผนการดำเนินงาน2.การแบ่งงาน
3.การบริหารงานบุคคล
4.การบริหารงานเงินและวัสดุ
5.การผลิต
6.การจัดจำหน่ายและบริการ
7.การแก้ไขข้อบกพร่อง
การประเมินผลการทำงานงานช่าง มีหลักการประเมินดังนี้
การประเมินก่อนการดำเนินงาน เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจในการทำงานแต่ละขั้นตอน ว่ามีความเหมาะสม เพียงพอหรือไม่การประเมินระหว่างการดำเนินงาน เป็นการประเมินกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบทุกขั้นตอน เป็นการประเมินตามสภาพจริงของการทำงาน โดยการสังเกต สอบถามหรือสัมภาษณ์
การประเมินหลังการดำเนินงาน เป็นการประเมินความสำเร็จของการวางแผนการทำงานหรือผลงานว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์เพียงใด เป็นการประเมินผลตามสภาพจริง ตั้งแต่การวางแผน การทำงาน กระบวนการกลุ่ม ผลงาน ความสำเร็จ ความประทับใจในผลงาน นอกจากนี้ยังต้องประเมินคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการทำงานช่างได้แก่
–ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความขยัน ความอดทน รักการทำงาน
–ความประหยัด อดออม ตรงเวลา
–ความเอื้อเฟื้อ ความเสียสละ ความมีวินัยในการทำงาน
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
www.jpw2555.blogspot.com/2012/09/blog-post_18